ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เหนือโลก

๑๒ พ.ค. ๒๕๕๖

 

เหนือโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๑๓๑๔. นะ

ถาม : ข้อ ๑๓๑๔. เรื่อง “ผลของวัฏฏะ เรื่องของพวกพ้องที่มีผลกับผู้วิมุตติแล้วได้ขนาดไหนครับ”

นมัสการหลวงพ่อ คำถามนี้เป็นคำถามจริงจัง ซึ่งพบกับประสบการณ์ชีวิตที่ได้พบในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่านึกคิดเอาเอง หรือจะสร้างกระแสแต่ประการใด

๑. พูดถึงวิมุตติแล้วมีโอกาสจะพ้นไปจากเรื่องกีฬาสีทางการเมืองแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า คือทำจิตเป็นกลางๆ หรือพิจารณาทำนองว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก แล้วไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย เป็นไปได้ไหมครับ

๒. หลวงพ่อได้เคยอธิบายถึงผลของวัฏฏะบ่อยๆ ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผลของวัฏฏะก็ต้องทำให้มีเรื่องของหมู่คณะบริวาร ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ก็ต้องมักเชื่อฟังอาจารย์ และอาจารย์ก็มักจะเกื้อกูลศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเพื่อนฝูงก็ยังรักกันด้วย ก็จะช่วยเหลือกันเป็นพิเศษ หากพูดถึงวิมุตติแล้ว มีเพื่อนฝูงหรือบริวารเป็นนักการเมืองหรือผู้เป็นใหญ่เป็นโตมาก่อน ทั้งอดีตชาติหรือปัจจุบันก็ตาม พูดถึงวิมุตตินั้นมีโอกาสละความผูกพันหรือบุญคุณในเรื่องเหล่านี้ได้มากขนาดไหน ขึ้นอยู่กับอะไร

๓. ความรัก ความผูกพันทั้งในอดีตและปัจจุบันฝังเป็นพันธุกรรมทางจิต ทำให้เกิดฉันทาคติได้กับปุถุชนแน่นอน แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ล่ะครับจะเป็นแบบไหนครับ

๔. โดยปกติปุถุชนคนทั่วไป ถ้าได้มีฉันทาคติต่อใครแล้ว มักจะกลายเป็นคนประเภทตาบอดข้างเดียว หรือแม้แต่บอด ๒ ข้าง มองข้ามข้อเสียของพวกพ้องตน และก็ด่าทอฝ่ายตรงข้ามได้ เขามักเห็นความผิดฝ่ายตรงข้ามเต็มๆ เสมอ ถ้าเกิดว่าพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นผู้สอนธรรมะมีภูมิธรรมที่สอนมุ่งสู่วิมุตติ แต่ไม่ได้มีทัศนะเป็นกลางทางการเมือง แบบนี้จะเกี่ยวกับหรือเปล่าที่ท่านจะถึงซึ่งความสิ้นกิเลสอย่างแท้จริงหรือไม่

๕. ในโลกแห่งความเป็นจริง คนๆ หนึ่งทำได้ทั้งดีและชั่ว และก็บางทีจะดีหรือจะชั่วก็ตัดสินเอาจากใครได้ผลประโยชน์หรือเสียผลประโยชน์ ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ยิ่งรุนแรง บอกตรงๆ ผมเองก็เป็นคนที่เกลียดคนที่นิสัยเอาชนะจนไม่สนว่าโดยรวมจะเสียหายขนาดไหน การจะละเรื่องความเกลียดชังเหล่านี้พิจารณาอย่างไรครับ

๖. หากผู้นำประเทศ การที่สังเวยชีวิตของลูกน้อง หรือประชาชนบางส่วนเพื่ออำนาจหรือความอยู่รอดระบบการปกครองก็เป็นเรื่องปกติ โดยประวัติศาสตร์ผ่านมากี่ยุคก็มีแบบนี้ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้แบบนี้ ทำไมยังปลงใจไม่ตกกับโลกธรรมครับ

(นี่เขาถามนะ นี้ข้อที่ ๑.)

ถาม : ข้อที่ ๑. พูดถึงวิมุตติแล้วมีโอกาสพ้นจากเรื่องกีฬาสีทางการเมืองแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า คือทำจิตเป็นกลางๆ หรือพิจารณาทำนองว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก แล้วไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย เป็นไปได้ไหมครับ (นี่พูดถึงเป็นไปได้ไหมครับ)

ผู้วิมุตติแล้ว พ้นจากกีฬาสี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไหม?

ตอบ : มันพ้นมาตั้งแต่วิมุตติ มันพ้นไปตั้งแต่วิมุตติ มันพ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่มีทางหรอกที่พ้นจากผู้เป็นวิมุตติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้วจะมาติดเรื่องกีฬาสี เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะวิมุตติ วิมุตติมันเหนือโลก ธรรมะที่เหนือโลกมันพิจารณาไปแล้ว มันปล่อยวางไปแล้ว มันขาดไปแล้ว มันอยู่เหนือโลกแล้ว พอมันอยู่เหนือโลกแล้ว เหนือโลกเขามีการขัดแย้งกัน

นี่ผู้ที่วิมุตติแล้วจะมาเข้าข้างใครข้างหนึ่งได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่ว่าจะมาอยู่ร่วมในความขัดแย้งนั้นน่ะ แต่ผู้ที่วิมุตติแล้ว ใครถึงวิมุตติล่ะ? วิมุตติเพราะมันกำจัดกิเลสในหัวใจหมดใช่ไหม? ถ้ากำจัดกิเลสในหัวใจหมดแล้วมันจะติดข้องสิ่งใดกับเรื่องกีฬาสีล่ะ? กีฬาสีมันเป็นเรื่องของโลกไง กีฬาสีในเมื่อมันมีการขัดแย้งกันใช่ไหม แล้วผลประโยชน์มันก็มีการขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา

ฉะนั้น มีเรื่องขัดแย้งเป็นธรรมดา ผู้ที่วิมุตติแล้วเขารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เขารู้เลยว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่มันจะเป็นเรื่องความขัดแย้งไหม ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งสังโยชน์มันก็ไม่ขาดน่ะสิ เห็นไหม มานะ ๙ เราต่ำกว่าเขาสำคัญว่าต่ำกว่า สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา เราเสมอเขาสำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา เราสูงกว่าเขาสำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา เราสูงกว่าเขาสำคัญตน ถ้าสำคัญตนมันก็มีกีฬาสี สำคัญตนมันก็เป็นประเด็นไง ถ้าไม่สำคัญตนล่ะมันไม่มีอะไรกระทบไง ไม่มีมานะ มานะ ๙ ไม่มี ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น มันจะเกิดกีฬาสีได้อย่างไรล่ะ? กีฬาสีไม่เกิดหรอก ไม่มีทาง

ถาม : ถ้าวิมุตติแล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จะมาเกี่ยวกับเรื่องกีฬาสีไหม?

ตอบ : ไม่มี ไม่มี แต่ท่านรู้ ท่านรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาญาติข้างพ่อกับญาติข้างแม่แย่งน้ำกัน เพราะมันคนละเมือง จำชื่อเมืองไม่ได้ เป็นภาษาบาลีเราพูดไม่ค่อยถูก นี่มันชื่อเมือง ๒ เมือง แล้วมีแม่น้ำสายหนึ่งไง แล้วชักน้ำเข้าทำนา ถึงเวลาแล้วชักน้ำทำนา มันหน้าแล้งมันแบ่งน้ำกันไม่ได้ ยกกองทัพมาไง พอยกกองทัพมาเลย พระพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้ไง รู้ก็ไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างกองทัพจะมาปะทะกัน พอเข้ามาใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า

“น้ำกับชีวิตอะไรมีค่ามากกว่ากัน?”

ชีวิตมีค่ามากกว่าน้ำนะ ชีวิตมีค่ามากกว่าน้ำ ฉะนั้น ถ้าชีวิตมีค่ามากกว่า เราจะมารบราฆ่าฟันกันให้เสียชีวิตไปเพื่อแย่งน้ำมันมีประโยชน์อะไร? ได้สติก็กลับไปครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ พระพุทธเจ้าก็ไปนั่งขวางอีกครั้งที่ ๒ พอครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าไม่ได้ไป รบกันนะข้างพ่อกับข้างแม่ หมายถึงว่า ๒ เมืองใช่ไหม ระหว่าง ๒ เมืองลูกแต่งงานกัน รบกันนี่รบกันแหลกไปทั้ง ๒ เมืองเลย นี่เวลากรรมของเขา

นี่ไงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งสีไหม? เมืองข้างพ่อกับเมืองข้างแม่นะมารบกัน เวลามารบกัน มาแย่งน้ำกัน นี่ที่ว่าพระพุทธเจ้าห้ามญาติๆ ห้ามญาติตรงนี้ นี่ห้ามญาติ เห็นไหม เวลารู้ผิด รู้ถูก ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ รู้ถูก รู้ผิดไง นี่ถ้าพูดถึงว่าชีวิตกับน้ำท่านให้สติไง เรายกทัพมารบกันก็เพราะเรื่องน้ำ ถ้ารบกันแล้วมันก็ต้องสังเวยด้วยชีวิต ชีวิตกับน้ำอะไรจะมีคุณค่ากว่า ชีวิตก็ต้องมีคุณค่ากว่าเป็นธรรมดา แต่ชีวิตนี้จะอยู่ได้ก็ต้องเพราะอาหาร อาหารจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะน้ำ แล้วถ้าไม่มีน้ำมาทำกสิกรรมมันจะเอาอาหารอะไรมากินล่ะ?

นี่ความบีบคั้นของโลกไง ความบีบคั้นของปัจจัยเครื่องอาศัยไง พอความบีบคั้น การปกครอง พอการปกครอง ในเมื่อเราต้องมีน้ำมาเพื่อทำกสิกรรม ถ้าเราไม่มีน้ำมามันจะปกครองประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อปกครองกันไม่ได้มันก็มีความบีบคั้นกันทางกีฬาสี พอกีฬาสี กีฬาสีก็ต้องมาปะทะกัน เพราะว่าในเมื่อคนมีความจำเป็น คนก็ต้องดิ้นรน คนก็ต้องแสวงหา แล้วผู้นำคน ผู้นำคนเขาต้องผู้นำคนในชุมชนนั้น

นี่เวลาเขายกมา กีฬาสีเขายกมาเพื่อจะรบกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปนั่งเป็นประธานเลย แล้วทุกคนก็เกรงใจ เพราะทุกคนก็เคารพบูชา พอเกรงใจขึ้นมาเราต้องแสดงธรรม ดูสิแสดงธรรมก็เลิกรากันไปครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ พอครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกมันเป็นเวรกรรม มันเป็นเวรกรรมของเขามันฝังอยู่ในพันธุกรรมที่ว่า ถึงเวลาก็ต้องรบราข้าฟันกัน แหลกหมดเลยนะ ตายหมดเลย เห็นไหม จะบอกว่าถ้าเป็นผู้วิมุตติแล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ผู้วิมุตติแล้วจะไม่ไปยุ่งเรื่องกีฬาสี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ไม่ยุ่ง

ทีนี้พอไม่ยุ่ง ทำไมครูบาอาจารย์ท่านพูดเรื่องนี้บ้างล่ะ? ท่านพูดเรื่องนี้ เห็นไหม รู้ถูกรู้ผิดไง รู้ที่มาที่ไป อะไรควรไม่ควรไง แล้วแนะนำแล้วเขาจะทำหรือไม่ทำมันก็เรื่องของเขาไง แนะนำบอกเขา ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกนะ แล้วเวลาท่านบอกท่านมีสติ คือว่าท่านมีสติเป็นอัตโนมัติ พระอรหันต์มีสติไหม? ว่าสติเป็นสมมุติเรามีสติได้อย่างไร? อ้าว สอุปาทิเสสนิพพาน สติของท่านมี ท่านควรพูดกับใคร ท่านควรทำกับใคร ท่านพูด ครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่

เหมือนกับพระผู้ใหญ่ เวลาท่านพูดท่านพูดกับผู้ใหญ่ ท่านพูดกับนักบริหาร ท่านพูด ท่านคอยแนะคอยบอก แต่ แต่เขาฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหรือเปล่า เขาฟังแล้วเขาไม่ได้ผลประโยชน์เขาจะทำตามหรือเปล่า เวลาพูดมันพูดแล้วเขาทำตามเราไหม? เขาเห็นชอบไปกับเราหรือเปล่า แต่เหตุผลถูกผิดรู้ไหม? รู้ แต่รู้แล้วบอกเขาแล้วเขาฟังไหม? นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ คำว่าบอกเขา แล้วเขาบอกว่ามาบอกทำไม ถ้าบอกก็เป็นกีฬาสีสิ ไม่ยุ่งกับกีฬาสี แต่เข้าใจเหตุเข้าใจผล ที่มาที่ไป ควรไม่ควรอย่างใด ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาปรินิพพาน

“ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นดวงตาของโลก ท่านเป็นผู้ชี้นำ ท่านเป็นคนบอก พระเจ้าอชาติศัตรูจะไปรบกับใคร ในสมัยพุทธกาลเป็นแว่นแคว้นใช่ไหม แว่นแคว้นแต่ละประเทศ แต่ละแว่นแคว้นประเทศหนึ่งเขารบราฆ่าฟันกัน เขาแย่งชิงกัน เขาทำต่างๆ กัน ใครจะทำอะไรก็ไปปรึกษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ดวงตาของโลก มีอยู่เมืองหนึ่งที่ว่าโรคระบาดหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปนิมนต์สงฆ์มา แล้วสวดมนต์ ทำน้ำมนต์พรมไปทั้งเมืองเลย นี่ผู้ที่พ้นแล้วท่านเป็นดวงตาของโลก ท่านเป็นธงชัย เป็นผู้นำ เป็นผู้บอก แล้วถ้าใครทำตาม ใครไม่ทำตามมันเป็นเวรกรรมของเขา

ฉะนั้น บอกว่า

ถาม : ๑.ผู้วิมุตติแล้วมีโอกาสจะพ้นไปจากกีฬาสีทางการเมือง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า คือทำจิตเป็นกลางๆ หรือพิจารณาทำนองว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก แล้วไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย เป็นไปได้ไหมครับ

ตอบ : มันเป็นไปได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เหนือ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือว่าท่านไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรอก แต่ธรรมกับอธรรมใช่ไหม ถ้าสิ่งใดถูกต้องดีงามนะ ถ้าชี้นำได้ บอกได้ก็บอก ก็บอกๆ แต่ไม่ใช่บอกออกมา ยิ่งบอกยิ่งทำให้เรื่องนั้นฟูขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น ไม่มี ท่านจะบอกถึงว่าถ้าแก้ไขได้มันก็เป็นประโยชน์กับสังคม แต่ถ้าบอกแล้วแก้ไขไม่ได้ หรือบอกแล้วเขาไม่ฟัง เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะมันเป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์นี่สภาคกรรม กรรมของสัตว์ สัตว์มันเกิดมามันมีกรรมร่วมกันมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราอยู่กับเขา

นี่เวลาโลก วิทยาศาสตร์พูดไง อ้าว ก็พระฉันข้าวเขา นี่เขามีกีฬาสีก็ยังบิณฑบาตกีฬามาฉันเลย เสร็จแล้วกีฬาสีก็มีทำไมไม่ช่วยสอนกีฬาสี อ้าว ก็กีฬาสีมันมีผลประโยชน์ กีฬาสีมันมีความเห็นของมัน แต่ท่านก็บอกตามความเป็นจริง นี่พูดถึงเหนือโลก เหนือโลกนะ พอเหนือโลก เหนือสงสารแล้ว เหนือทุกๆ อย่าง วัฏสงสาร วิวัฏฏะออกไปแล้วนี่เหนือ แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นก็เป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้น เห็นไหม นี่ที่เขาบอกว่าอิทัปปัจจยตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง อ้าว แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ? ถ้ามันเป็นจริงนะ พอมันเป็นแล้วใจของเราไม่หวั่นไหว ใจของเรามันถูกต้อง ถ้าเรายังหวั่นไหวมันไม่เป็นเช่นนั้นเองหรอก ถ้าเป็นเช่นนั้นเองยังออกมานำกีฬาสีอยู่มันไม่เป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว มันเดินนำหน้าเขาแล้ว มันจะเป็นเช่นนั้นเองตรงไหน? นี่ถ้ามันเป็นเช่นนั้นเองมันจะรู้

ถาม : ๒. หลวงพ่อได้เคยอธิบายถึงผลของวัฏฏะบ่อยๆ ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผลของวัฏฏะก็ต้องให้ถึงหมู่คณะ บริวาร ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ก็ต้องมักเชื่อฟังอาจารย์ และอาจารย์ก็มักจะเกื้อกูลศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนฝูงรักกันก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นพิเศษ หากผู้วิมุตติแล้วมีเพื่อนฝูงหรือบริวารเป็นนักการเมือง หรือผู้เป็นใหญ่เป็นโตมาก่อน ทั้งอดีตชาติและปัจจุบันก็ตาม พูดถึงวิมุตตินั้นมีโอกาสละความรัก ความผูกพัน หรือบุญคุณในเรื่องเหล่านี้ได้มากน้อยขนาดไหน ขึ้นอยู่กับอะไร

ตอบ : ละได้หมด ถ้าวิมุตติก็คือวิมุตติ พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ ไม่มาติดข้องเรื่องอย่างนี้หรอก แต่ถ้าไม่ติดข้อง เห็นไหม แต่เป็นที่ว่าเป็นผู้นำ เป็นธงชัย เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ถ้าที่พึ่งของสัตว์โลกเขาก็จะมาพึ่ง ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ พอผลของวัฏฏะมันก็เกิดมา เกิดมานี่ผลของวัฏฏะจริงๆ นี่พอผลของวัฏฏะขึ้นมามันมีเวรมีกรรม อย่างเช่น เช่นพูดถึงเวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นี่เวลาเขาปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา แล้วเขาสร้างบุญกุศลของเขามานะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สร้างบุญกุศลมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เห็นไหม เวลาไปฟังธรรมพระอัสสชิเป็นพระโสดาบัน แล้วจะมาบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ทันบวชเลย พระพุทธเจ้าบอกเลยอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของเรามาแล้ว แล้วเวลาบวชแล้ว ๗ วันพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตรยังไม่เป็น พอถึง ๑๔ วัน นี่ ๒ อาทิตย์ถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

แล้วพอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พออยู่ขึ้นมาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งให้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา พระทั้งหมดประชุมนะ พระทั้งหมดเขาติฉินนินทากันเลยว่าพระพุทธเจ้าลำเอียง พระพุทธเจ้าจะตั้งอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาก็ต้องเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก อย่างน้อยต้องตั้งปัญจวัคคีย์ อย่างน้อยต้องตั้งคนอื่นก่อน เพราะพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเพิ่งมา เพิ่งมาไปตั้งเขาได้อย่างไร แสดงว่าพระพุทธเจ้าลำเอียงๆ

นี่ไงนี่ผลของวัฏฏะ พระพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ ประชุมสงฆ์พระพุทธเจ้าเทศน์นะ เราไม่ได้ตั้งด้วยความลำเอียง เราตั้งเพราะมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเพราะพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเขาปรารถนาของเขามา เราตั้งเพราะว่าเป็นสมบัติของเขา เขาได้สร้างสมบัติของเขามา แล้วถึงเวลาแล้วเขามาเอาสมบัติของเขาคืน คือเอามาสมบัติของเขา คือตำแหน่งของเขา ฉะนั้น ตำแหน่งของเขาเราก็ให้ตำแหน่งของเขา คือเขาสร้างสมบุญญาธิการ เขาสร้างอำนาจวาสนามา เขาปรารถนามาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ถึงเวลาเขามาแล้ว ตำแหน่งของเขา เขาสร้างบารมีของเขามาก็ตั้งเขาตามนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราก็ตั้งตามนั้น เราไม่ได้ตั้งว่าใครต้องมาก่อน ใครต้องมาหลัง เราก็ตั้งตามนั้น นี่ไงผลของวัฏฏะ เห็นไหม ถ้าพ้นไปเสร็จแล้วไม่มีหรอก ไม่มีพวกเขา พวกเรา เวลาพระถึงบอกว่า อ้าว ตั้งได้อย่างไร เพราะพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเพิ่งมา นี่พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรก เป็นลูกคนโต เป็นสงฆ์องค์แรกเลย ทำไมไม่ตั้งพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็ต้องตั้งพระโมคคัลลานะ นี่พูดถึงเวลาที่ว่าถ้ามีผลเกื้อกูล ผลของวัฏฏะไง

นี่ผลของวัฏฏะนะ ถ้าประเด็นนี้ แล้วก็กลับไปประเด็นของเทวทัต พระเทวทัตนี่เป็นน้องชายนะ เป็นลูกพี่ลูกน้อง พระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อของพระพุทธเจ้า พระสุปปพุทธะ เป็นน้องชายของพระเจ้าสุทโธทนะ สุปปพุทธะเป็นน้องชายพระเจ้าสุทโธทนะ แล้วเป็นพ่อของเทวทัต

ฉะนั้น เทวทัตเป็นลูกผู้น้อง เทวทัตเป็นน้องชายพระพุทธเจ้า เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แล้วพอเทวทัตมาบวชแล้ว เทวทัตว่า เอ๊ะ! ทำไมเราก็เป็นศากยวงศ์เหมือนกัน ก็เลยอยากจะปกครองสงฆ์ไง ถ้าบอกว่ายังมีอดีตชาติ ยังมีความผูกพัน ทำไมเทวทัต น้องชายแท้ๆ เลยขอปกครองสงฆ์ พระพุทธเจ้าบอกว่า

“เทวทัต แม้แต่พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาเรายังไม่ให้ปกครองสงฆ์เลย เราจะให้เธอปกครองสงฆ์ได้อย่างใด?”

นี่พูดถึงผลของวัฏฏะไง ที่ว่าถ้าไม่ลำเอียง ไม่ผูกพัน ไม่มีหรอก ถ้าพูดถึงวิมุตติแล้วไม่ติดเรื่องอย่างนี้หรอก ไม่ติดเด็ดขาด ทีนี้ไม่ติดแล้วเรามองภาพเข้าไป มองภาพเข้าไปอย่างไรเท่านั้นแหละ เรามองภาพเข้าไปเราก็เห็น ไม่ติดทำไมลำเอียงทางนู้น ไม่ติดทำไมตั้งพระสารีบุตร ไม่ติดทำไมเทวทัตมาขอทำไมไม่ให้เทวทัต เพราะเทวทัตก็เป็นน้องชาย ถ้าไม่ติดๆ พระเขาก็โจทก์กันเหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้าเวลาประชุมสงฆ์แล้วไม่ ไม่เลย

ฉะนั้น ผลของวัฏฏะหมายความว่า นี่เวลาพูดเราพูดถึงผลของวัฏฏะบ่อย ผลของวัฏฏะหมายความว่ามันมีที่มาที่ไปไง เวลาในปัจจุบันนี้เราคิดว่าเราเกิดมาจากอะไร เราเกิดมาทำไม อยู่ทำไม จะไปไหน ผลของวัฏฏะคือสิ่งที่ทำคุณงามความดีมาก็มาเกิดเป็นเรา แล้วผลของวัฏฏะนะเวลาพระกรรมฐานพูดถึงผลของวัฏฏะเขาสังเวช สังเวชผลของวัฏฏะมันเวียนตายเวียนเกิดเหมือนสวะ สวะ เห็นไหม ดูสิเวลาน้ำท่วมมันพัดเอาพวกเศษไม้ ใบไม้มา มันไหลมากองกัน สุดท้ายแล้วมันก็แยกจากกันไป มันมากระทบกันแล้วมันก็แยกจากกันไป

เวลาเราเกิดมาแล้ว เราก็เวียนตายเวียนเกิดเป็นมนุษย์ เราก็มาเจอกัน เราก็มาใช้ชีวิตร่วมกันเนาะ แล้วเราก็แยกกันไป เพราะต่างคนต่างตายกันไป นี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะนะ แต่ถ้าเราไม่มีคุณธรรมนะผลของวัฏฏะเราก็คร่ำครวญ แล้วเราก็ตีโพยตีพาย นี่ประชาธิปไตย เกิดมาต้องเสมอภาค เกิดมาต้องเท่ากัน เกิดมาก็ต้องมีรักเหมือนกัน มีความเสมอกัน มันเป็นไปได้ไหม? ในหัวใจมันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ทีนี้มันเป็นไปไม่ได้ เราก็มีกิเลส มันก็ผูกพัน แต่เวลาสามเณรน้อยนะอยู่ในธรรมบท สามเณรน้อยเป็นลูกศิษย์หลวงตา นี้เวลาลูกศิษย์หลวงตามาอุปัฏฐากหลวงตา หลวงตานอนอยู่ในกุฏิ สามเณรน้อยก็มาพัดอยู่ ฉะนั้น สามเณรน้อย นี่ภิกษุจะนอนกับอนุปสัมบัน ได้ไม่เกิน ๓ คืน พอคืนที่ ๓ เขาจะให้สามเณรนี้ออกไป ทีนี้หลวงตาเป็นอาจารย์ไง ก็เอาพัดนี่ไล่ออกไป พัดนั้นมันไปทิ่มตาของสามเณรน้อยบอดเลย สามเณรน้อยตาบอดเลยนะ ก็ลุกออกไป เพราะเขารู้วินัยใช่ไหมเขาต้องลุกจากกุฏิออกไป พออรุณขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นก็กลับมาทำข้อวัตร ก็เรียกสามเณรน้อยเข้ามา

สามเณรน้อยเข้ามา คลำเข้ามาเพราะตาบอด ตาบอดเลย พอตาบอดหลวงตาท่านเป็นพระปุถุชน บอกสามเณรน้อยทำไมอุปัฏฐากไม่ดีล่ะ? มันไม่เห็น เพราะตามันบอดแล้ว พอตาบอดนะ อู้ฮู หลวงตาใจฝ่อเลย อยู่ในธรรมบทนะ อยู่ในพระไตรปิฎก เสียใจมาก เพราะอะไร? เพราะสามเณรน้อยอุปัฏฐากเรา ทำคุณงามความดีกับเราทั้งหมดเลย แต่เรานี่ใช้อารมณ์ ใช้พัดโบกไปโดนตา โดนตาสามเณรตาบอดเลย แล้วสามเณรนั้นเป็นพระอรหันต์เลย

ฉะนั้น พอสามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์ หลวงตาก็เสียใจมากก็จะขอโทษเณร เณรบอกไม่ต้องหรอกมันเป็นผลของวัฏฏะ คือเณรไม่มีความดีใจหรือเสียใจที่อาจารย์ทำให้ตาเราบอด แต่อาจารย์ผู้ทำตาบอดเศร้าใจมาก เสียใจมาก เสียใจมาก ขนาดเป็นอาจารย์นะ คือใจมันคนละชั้น อาจารย์เป็นปุถุชน สามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์

ฉะนั้น พออาจารย์มีความสะเทือนใจอย่างนั้น อาจารย์ถึงชวนสามเณรน้อยไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันเลย บอกข้าพเจ้า ไปสารภาพไง สารภาพกับพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำอย่างนั้นๆ จนสามเณรน้อยตาบอดเพราะข้าพเจ้าทำ สามเณรน้อยมีคุณธรรมอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงพยากรณ์ไง เป็นอย่างนั้น ในเมื่อวิมุตติแล้วเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเป็นพระอรหันต์คือวิมุตติแล้ว สามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบวิมุตติแล้ว แต่หลวงตาอายุพรรษา ๕๐-๖๐ แล้ว จะตายอยู่แล้วยังปุถุชนอยู่ ถ้าปุถุชนอยู่มันก็มีดีใจ เสียใจไง นี่ดีใจ มีความผูกพัน

ความผูกพันโดยสามเณรน้อยกับหลวงตา เห็นไหม เป็นศิษย์ อาจารย์กันก็ผูกพันกันด้วยศิษย์กับอาจารย์ ในสมมุติโลกหลวงตาก็เป็นอาจารย์ เพราะว่าเป็นหลวงตา แต่สามเณรน้อย สามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์ เป็นลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ แต่ใจเป็นพระอรหันต์ วิมุตติไป ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ติด ไม่เสียใจ อาจารย์เอาพัดพัดตาบอดก็ยังไม่ถือโทษ ไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่มีอารมณ์สะเทือนใจเลย ไอ้คนที่ทำ ปุถุชนทำเขา อู๋ย จิตใจมันหวั่นไหวไปหมดเพราะเราเป็นคนทำ

นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าถ้ามันเป็นวิมุตติไปแล้ว ผลของวัฏฏะมันมีความผูกพัน ความผูกพันไอ้นี่มันคิดแบบเราไง มันคิดแบบเรา ทีนี้เวลาบอกว่าผลของวัฏฏะๆ ผลของวัฏฏะคือมันเห็นจริงตามวัฏฏะมันก็ไม่สะเทือนใช่ไหม? อย่างเช่นเรารู้เลยว่ามะพร้าวมันมาจากต้น มะพร้าว เวลาลูกมะพร้าวอ่อนเขาเอามากินเพราะมันมาจากไหน มันก็เรื่องปกติ แต่ถ้าเป็นชาติที่เขาไม่เคยเห็นเลย เขามาเจอมะพร้าวเขาจะตื่นเต้นมากเลย

นี่ไงความผูกพันอยู่ตรงนั้น ความตื่นเต้น ความผูกพัน อันนี้พูดถึงว่าผลของวัฏฏะมันจะมีผลกับผู้ที่วิมุตติและไม่วิมุตติไง ถ้าผู้ที่วิมุตติแล้ว ผลของวัฏฏะให้เห็นว่าธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น ธรรมชาติคือวัฏฏะวน ถ้าธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเราก็อยู่กับธรรมชาติ เราวางได้ไง แต่ถ้าคนที่มันยังเล่นกีฬาสีอยู่มันมีผล พวกเรา พวกเขา เข้าข้างนู้น เข้าข้างนี้ อย่างของเรานี่นะ อย่างถ้าวิมุตติแล้ว ถ้าพูดถึงฝ่ายที่เป็นผู้นำทำตัวผิดไปทำร้ายเขา เขาก็รับไม่ได้ เขารับไม่ได้หรอก ไม่มีเข้าข้างหรอก เพียงแต่จะเตือนอย่างไรให้เขาหู ตาสว่างได้ ถ้าเขาเตือนไม่ได้มันก็กรรมของสัตว์ เขาก็ต้องให้กรรมมันให้ผล

ถาม : ๓. ความรัก ความผูกพันในอดีตและปัจจุบันฝังเป็นพันธุกรรมของจิต ทำให้เกิดฉันทาคติได้กับปุถุชนแน่นอน แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ล่ะครับจะเป็นแบบไหนครับ (จะเป็นแบบไหนเนาะ)

ตอบ : ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ ถ้าเป็นพระอรหันต์มันก็จบ แต่ก่อนจะเป็นพระอรหันต์นี่ติด คนเกิดมานี่คนเกิดมามีอวิชชาหมด ถ้าคนเกิดมามีอวิชชาหมดมันก็มีฉันทาคติ มีต่างๆ มันถึงเลือกครูบาอาจารย์ไง เวลาเลือกครูบาอาจารย์ กรณีอย่างนี้กรณีของพระองคุลิมาล พระองคุลิมาลก็เป็นนักศึกษานะ พยายามจะหาวิชาการ หาความรู้

นี่เป็นคนฝักใฝ่ความรู้ จะเอาความรู้มาก สุดท้ายเป็นคนดีมากเลยไปศึกษากับอาจารย์ของตัว แต่ลูกศิษย์ด้วยกันอิจฉาไง อิจฉาก็ไปเป่าหูอาจารย์ เป่าหูอาจารย์ เป่าอย่างไรก็ไม่จบหรอก เป่าอย่างไร เพราะอาจารย์ของคนก็ผ่านโลกมาเยอะไง เป่าไปเป่ามานะ เป่าถึงที่สุดแล้วพอเป่าหูไม่ได้นะเอาเลย จะเป็นชู้กับภรรยานะ เอาเมียของอาจารย์มาเป็นเหยื่อไง เท่านั้นแหละไปเลย พอไปขึ้นมาก็ตั้งแล้ว เรามีวิชาพิเศษ วิชาพิเศษนี้จะทำได้ต้องมียกครู ยกครูด้วยนิ้วพันนิ้ว ให้ไปเอานิ้วนั้นมา คือพยายามจะผลักออกไง แต่เป็นคนดีมากๆ เลย เวลาไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้วเธอไม่หยุด”

“หยุดอย่างไรล่ะ?”

“หยุดทำความชั่วไง”

คนมีสตินะ พอหยุดทำความชั่วนี่วางดาบเลย พอวางดาบ ฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

นี่พูดถึงว่าก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์มันก็เป็นปุถุชนมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ ก่อนเป็นพระอรหันต์มันก็มีฉันทาคติ มันก็มีอะไรมา ฉันทาคติคือความพยายามดิ้นรนของเราเพื่อจะหลุดพ้นของเราให้ได้ เราก็เห็น เวลามีฉันทาคติเราลำเอียงอย่างไร ลำเอียงกับหมู่คณะอย่างไร ลำเอียงกับหัวใจเราอย่างไร เวลาเราปฏิบัติแล้ว เวลาทำอะไรสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่มันเป็นผลขึ้นมาเราก็ว่าอันนี้ใช่ อันนี้ใช่ แล้วพอมันไม่ใช่ขึ้นมาเราก็ลำเอียงกับเรามาพอแรงแล้ว เพราะเวลาภาวนาไป เวลามันปล่อย โอ๋ย อันนี้พระอรหันต์แน่ๆ เลย พอไม่กี่วันนะมันเสื่อมหมดเลย เอ๊ะ พระอรหันต์หายไปไหน พระอรหันต์มันเสื่อมไปหมดเลย

นี่มันก็เพราะลำเอียงไง เราจะเห็นหมดแหละ คนที่จะเป็นพระอรหันต์ คนที่จะหลุดพ้นไปเขาก็เป็นปุถุชนมาก่อน เขาก็ติดของเขามาก่อน แล้วพอเป็นพระอรหันต์แล้ว นี่พระอรหันต์เป็นแบบใดล่ะ? เพราะพระอรหันต์มันโดนกิเลสมันพยศมาพอแรงแล้วไง พระอรหันต์มันโดนฉันทาคติ โดนต่างๆ ชักนำให้ภาวนาพยายามมีปัญหามาตลอดไง แล้วพระอรหันต์ได้ทำลายสิ่งนั้นมาแล้ว พระอรหันต์รู้เท่าทันหมด แล้วพระอรหันต์จะไปฉันทาคติอย่างไรล่ะ? เราไม่ฉันทาคติกับหัวใจของเรา

ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม ใครมาถามปัญหา โอ๋ ใหญ่เลยนะ โอ๋กลัวอะไร? กลัวลูกศิษย์จะน้อยใจ พอลูกศิษย์จะมาถามปัญหานะ อาจารย์ว่าทุกทีเลย อะไรก็ไม่ใช่ อะไรก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ๆ ทุกทีเลย น้อยใจไง ฉันทาคติกลัวลูกศิษย์น้อยใจก็ว่าเออใช่ จะอรหันต์ลงนรกกันไง อรหันต์อย่างนั้นหันลงขวด เอาใจกันไง นี่ฉันทาคติไง เพราะกว่าจะเป็นอย่างนั้นเราก็เป็นอย่างนั้นมาก่อน เราก็โดนกิเลสหลอกมาพอแรงแล้ว เราเองเราก็ล้มลุกคลุกคลานมาพอแรงแล้ว ถ้าเราล้มลุกคลุกคลานมาขนาดนั้น เราจะให้คนอื่นล้มลุกคลุกคลานกับเราอีกไหม? ถ้าไม่ล้มลุกคลุกคลาน

ถาม : นี่ถ้าเป็นพระอรหันต์ละครับจะเป็นแบบใด

ตอบ : ก็เป็นแบบรู้เท่าไง ก็ตัวเองเป็นมาก่อน ตัวเองโดนฉันทาคติ ตัวเองโดนกิเลสหลอกมาก่อน ตัวเองโดนกิเลสตบหัว ตัวเองโดนกิเลสเหยียบย่ำมาก่อน แล้วพอเราพ้นไปแล้วเราจะเมตตากับลูกศิษย์แค่ไหน ลูกศิษย์มันก็โดนหลอกอยู่นั่นแหละมันถึงมาถามเราไง เพราะมันโดนหลอกมันก็งงๆ พองงๆ ก็ถามอาจารย์ เพราะอาจารย์งงๆ ก็ยิ่งงงๆ กันไปเลย ถ้ามันงงๆ มาเราเป็นอาจารย์มาถึงเราก็ตบให้มันหายงงไง งงๆ มามันก็ตาสว่างเลย เออ มันหลอก มันหลอก พอมันหลอกก็ทำใหม่ มันก็เป็นประโยชน์

ถาม : นี่พระอรหันต์เป็นแบบใด

ตอบ : พระอรหันต์ก็เป็นแบบรู้แจ้ง รู้อะไรควร ไม่ควร ถ้าอะไรควร ไม่ควรมันก็รอเวลาไง รอเวลาหมายความว่าเขามีสติสัมปชัญญะ เขามีกำลังพอที่จะรับฟังไหม? ถ้าเขายังไม่มีกำลังพอที่จะรับฟังเราก็เออออไปก่อน แต่ถ้าเขามีกำลังรับฟังบอก เฮ้ย ไม่ใช่หรอก ที่ทำๆ มามันไม่ใช่ ควรเปลี่ยนอารมณ์ซะ ควรพิจารณาใหม่ ควรเอาประสบการณ์อันนั้นมาเทียบเคียงความจริงของตัว แล้วพอมันรู้จริงแล้วมันจะปล่อยของมันไป มันจะข้ามพ้นของมันไป

นี้ถ้าเป็นพระอรหันต์เป็นแบบใด ก็เป็นแบบพระอรหันต์ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอย่างไร เราต้องไปถามก่อน หลวงตาบอกว่าถ้าท่านตอบปัญหาไม่ได้นะ ท่านจะไปถามพระพุทธเจ้าแล้วมาตอบทีหลัง ไอ้นี่ถ้าพระอรหันต์เป็นอย่างไรเราก็ต้องไปถามพระอรหันต์ก่อนว่า เฮ้ย เป็นอย่างไรวะ แล้วถ้าพระอรหันต์บอกมาแล้วเราจะมาบอกนะ ตอนนี้ยังบอกไม่ถูก

ถาม : ๔. โดยปกติปุถุชนคนทั่วไป ถ้าได้มีฉันทาคติต่อใครแล้วมักจะกลายเป็นคนตาบอดข้างเดียว หรือแม้แต่ตาบอด ๒ ข้าง มองข้อเสียของพวกพ้องตน แต่ด่าทอฝ่ายตรงข้าม เขามักเห็นความผิดของฝ่ายตรงข้ามเต็มๆ เสมอ และถ้าเกิดว่าภิกษุสงฆ์เป็นผู้สอนธรรมะมีภูมิธรรมที่สูงส่งสู่วิมุตติ แต่ไม่มีทัศนะเป็นกลางในทางการเมือง แบบนี้เกี่ยวกันหรือเปล่า ท่านจะถึงซึ่งความสิ้นกิเลสแท้จริงหรือไม่

ตอบ : อันนี้มันก็เป็นสิ่งที่เราทำอะไรไปก็แล้วแต่ เห็นไหม ความลับไม่มีในโลก ตัวเราเองเรารู้เองว่าเราทำสิ่งใดอยู่ แล้วถ้าเราทำสิ่งใดไป นี่คนที่มองเขาจะเห็นเองว่าท่านจะถึงซึ่งความสิ้นกิเลสแท้จริงหรือเปล่า ฉะนั้น ถ้ามันลำเอียงไป มันยืนข้างฝ่ายใคร มันทำอย่างไรไปมันไม่มีจุดยืนแล้วล่ะ ไม่มีจุดยืนก็ไม่มีความเป็นจริง ถ้ามันมีจุดยืน มีความเป็นจริงนะ อย่างที่ว่าถ้าเขาจะยืนความเป็นจริงของเขา ถ้าสิ่งใดเป็นจริงก็ต้องบอกว่าเป็นจริง

ในสมัยพุทธกาลอีกแหละ นี่เวลาศาสนานี้เสื่อมมาก พอเสื่อมไปพระนี้รังเกียจกัน ไม่ลงอุโบสถร่วมกัน พอไม่ลงอุโบสถร่วมกันนะ ทีนี้พอนานไปๆ พระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชศรัทธาในศาสนามาก แล้วอยากจะฟื้นฟูศาสนามาก แล้วเวลาพระเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก็มีพระปลอมๆ บวชเข้ามามาก พระปลอมบวชเข้ามา เวลาลงอุโบสถเขาจะแยกกันลงอุโบสถ ไม่ยอมลงอุโบสถร่วมกัน พวกผู้ที่ดูแลพระสงฆ์ไปรายงานพระเจ้าอโศกฯ พระเจ้าอโศกฯ ก็สั่งเลย สั่งมหาอำมาตย์บอกว่าให้ไปประชุมสงฆ์ ให้สงฆ์ลงอุโบสถร่วมกัน

ไปถึงนะ นี่เขาไปเลย ได้รับบัญชามาจากพระเจ้าอโศกฯ นะ ได้รับบัญชามาจากกษัตริย์ พอถึงก็สั่งให้พระลงอุโบสถร่วมกัน พระที่คุณธรรมเขาไม่ยอมลง พอไม่ยอมลงนะ นี่มหาอำมาตย์เขาเอามีดตัดคอพระเลย ตัดคอ ฉับ! ฉับ! พระที่ดีนะ พระที่ดีเขารักคุณธรรม เขารักษาศีลของเขา เขาจะไม่ยอมร่วมลงอุโบสถเพราะมันเป็นโมฆียะ มันเป็นโมฆะ เพราะเป็นสิ่งที่เป็นพระปลอมบวชเข้ามา

นี่มหาอำมาตย์เขาเป็นพระเจ้าอโศกฯ สั่งไป เอามีดตัดคอฉับ ฉับเลย หลานของพระเจ้าอโศกฯ มาบวชอยู่ด้วย พอหลานพระเจ้าอโศกฯ เป็นพระ เป็นพระที่มีสติสัมปชัญญะดีมาก เห็นว่ามหาอำมาตย์ทำเกินกว่าเหตุ แล้วทำเกินกว่าเหตุเที่ยวตัดคอพระ ตัดคอพระ มหาอำมาตย์ หลานพระเจ้าอโศกฯ ไปนั่งเป็นองค์ต่อมาเลย พอนั่งเป็นองค์ต่อมา มหาอำมาตย์มาถึงก็ยกดาบเลยนะ พอมองจำได้ว่าหลานพระเจ้าอโศกฯ ไม่กล้าตัด พอไม่กล้าตัดก็เอาดาบลง กลับไปรายงานพระเจ้าอโศกฯ ว่า

“ข้าพเจ้าไปทำงานแล้วครับ ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จครับ ข้าพเจ้าไปให้พระลงอุโบสถด้วยกัน แล้วทำไม่สำเร็จ”

พระเจ้าอโศกฯ ถามว่า “ทำไมถึงไม่สำเร็จล่ะ?”

“ไม่สำเร็จเพราะว่าข้าพเจ้าให้เขาลงอุโบสถร่วมกัน ถ้าไม่ลงอุโบสถข้าพเจ้าจะตัดหัว ตัดหัวพระเลย สุดท้ายแล้วพอจะตัดมาเรื่อยๆ ก็คิดว่าพระจะกลัว แล้วลงอุโบสถ จะตัดองค์ต่อไปก็มาเจอหลานพระเจ้าอโศกฯ ก็เลยไม่กล้าตัดครับ”

พระเจ้าอโศกฯ ทุกข์ร้อนใจมาก บอกให้ไปทำให้สามัคคีกัน ให้เป็นสังฆะ เป็นความรัก ความดีต่อกัน ทำไมไปตัดหัวพระล่ะ? ไอ้คนรับคำสั่งไป รับคำสั่งไปก็อยากจะมีผลงาน อยากจะโชว์เขาว่าจะทำคุณงามความดี ตัดหัวพระๆ เลย พระเจ้าอโศกฯ ทุกข์ใจมาก ร้อนใจมากไปหาอาจารย์ของตัวพระติสสะ พระติสสะก็เทศนาว่าการให้พระเจ้าอโศกฯ ใจเย็นขึ้นมา แล้วบอกว่าการแก้อย่างนี้มันเป็นการแก้ที่ไม่ถูก

ถ้าการแก้ที่ถูกนะ พระเจ้าอโศกฯ ให้เป็นอุปัฏฐาก เป็นทำสังคายนา พอทำสังคายนาเสร็จปั๊บ ทำสังคายนาพระอรหันต์ทำสังคายนา พอสังคายนาเสร็จแล้วตรวจสอบพระให้พูดถึงอริยสัจ พูดถึงศาสนา ไอ้ปลอมบวชเข้ามาเป็นพวกพราหมณ์มันพูดไม่เป็น ไม่เป็นสึก จับสึกๆๆ เออ ทำให้มันถูก พอจับสึกเสร็จ สังฆะสามัคคีในสงฆ์ มีความสะอาดบริสุทธิ์ก็ลงอุโบสถสามัคคีกัน นี่ทำถูกต้อง ถ้าทำถูกต้องดีงาม นี่ถ้าทำถูกต้องมันก็เป็นความจริงขึ้นมา นี่เขารักธรรมวินัยด้วยชีวิตนะ

ฉะนั้น ถึงบอกว่าท่านที่ทำแบบนั้น เข้ากีฬาสี โดยฉันทาคติท่านแสดงออกอย่างนี้ท่านจะสิ้นกิเลสจริงหรือเปล่า ไอ้นี่มันเรื่องโลกธรรม เรื่องทำเพื่อให้สังคมเขารู้ เขาเห็นมันจะแสดงตน แต่เวลาเรื่องคอขาดบาดตาย เห็นไหม มหาอำมาตย์เอามีดฟันคอทิ้งเลยล่ะ หลานพระเจ้าอโศกฯ ไปนั่งให้ฟันองค์ต่อไปเลย เจอวิกฤติไปนั่งให้ฟันคอเลย เอาคอนี่แลกเลย พระจริงๆ เขาเป็นแบบนั้น เขารักธรรมวินัยในหัวใจ เขารักของเขาจริงๆ เขาไม่ได้รักแอ๊ค รักเล่นกีฬาสีไง เดินอวดกันไง อย่างนี้มันจะเป็นผู้สิ้นกิเลสเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นความจริง นี่ความจริง แม้แต่ชีวิตยังสละได้เลย แล้วไม่ได้สละทิ้งเปล่าๆ สละเพื่อธรรมและวินัย สละเพื่อความมั่นคงของสงฆ์ สละเพื่อประโยชน์ เขาไม่ได้สละออกไปอย่างนั้นหรอก ถ้าสละอย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น นี่พูดถึงว่าในการมองว่าถ้าเป็นปุถุชนมีฉันทาคติเป็นอย่างนั้นไหม? นี่เรื่องของเขานะ เรื่องของคนที่จะดู เรื่องของคนที่มีสติปัญญา แล้วเราเข้าถึงวงในเราจะรู้ของเรา

ถาม : ๕. ในโลกแห่งความเป็นจริง คนๆ หนึ่งทำได้ทั้งดีและชั่ว และบางทีจะทั้งดีและชั่ว จะตัดสินจากใครที่ได้ผลประโยชน์ หรือเสียผลประโยชน์ ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ยิ่งรุนแรงมาก ผมเองก็เป็นคนๆ หนึ่งที่เกลียดคนที่จะเอาชนะคน โดยไม่สนใจว่าส่วนรวมจะเสียหายขนาดไหน การจะละเรื่องความเกลียดชังเหล่านี้จะพิจารณาอย่างใด?

ตอบ : การจะละเกลียดชังอย่างนี้ ถ้าการพิจารณา เห็นไหม โลก มองไปที่โลก ถ้าโลกเป็นขนาดนี้มันเป็นขนาดนี้ ถ้าเป็นได้ขนาดนี้เพราะใคร ใครเป็นคนทำให้เป็นขนาดนี้ใช่ไหม จิตใจเขาหยาบขนาดไหน ถ้าเรามองอย่างนั้นปั๊บเราก็เอาสิ่งนั้นมาย้อนกลับมาที่เรา ถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราควรทำอย่างนั้นไหม? แล้วโลกมันร้อนรุนแรงขนาดนี้เราจะทำอย่างใด นี่มันทำให้เราตื่นตัวนะ

ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม ถ้ามีหมู่บ้านใด เวลาพระจำพรรษา เวลาพระจำพรรษาแล้วถ้าหมู่บ้านจะเคลื่อนย้ายไปที่ไหน ถ้าหมู่บ้านเคลื่อนไป พระให้เคลื่อนตามไปได้ พระให้เคลื่อนตามไปได้ เห็นไหม พระให้เคลื่อนตามไปได้ เพราะสมัยโบราณมันเป็นสังคมชนบท เวลาอยู่ที่ชุมชนใดก็มีแค่นั้นแหละ ชุมชนไม่กว้างขวาง ฉะนั้น ถ้าหมู่บ้านเขามีอัตคัดขาดแคลน เขาย้ายหมู่บ้านของเขาให้พระตามเขาไปได้ ให้พระตามไปจำพรรษาได้ไม่ขาดพรรษาไง ที่ว่าสัตตาหกรณียะๆ ตามไปได้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่สังคมที่มันรุนแรง ถ้าพระเราจะภาวนา พระเราจะอยู่ในสังคมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สังคมที่สงบร่มเย็น ถ้าคนอย่างนั้นทำให้สังคมมีความรุนแรงอย่างนี้ เขาเป็นคนอย่างใด เขาเป็นคนจริงหรือเปล่า เขาเสียสละขนาดไหน เขาไม่เสียสละสิ่งใดเลย เขาไม่มีอะไรในหัวใจของเขาเลย ถ้าเขามีอะไรในหัวใจของเขา คนดี คนดีเขาเสียสละของเขาได้ นี่เขาเสียสละอะไรล่ะ? ถ้าเขาเสียสละสิ่งนี้มันก็จบ นี้เขาไม่เสียสละของเขาเอง

นี่การเสียสละ เห็นไหม อภัยทานๆ ที่ว่าให้อภัยทาน แล้วให้อภัยทานทำไมไม่ให้อภัยต่อกันล่ะ? ไม่ให้อภัยต่อกันมันก็เป็นเรื่องของทิฐิมานะแล้ว เรื่องของทิฐิมานะ เรื่องของมุมมองของคน เรื่องต่างๆ นี่มันก็ย้อนกลับมา แล้วเขาทำบาปอกุศล ทำความดีกันมาอย่างไรเขาถึงให้ผลกับสังคมขนาดนี้ สังคมขนาดนี้มันก็ถึงคราว ถึงเวลา แล้วพูดอย่างนี้มันก็ย้อนกลับว่าทำไมชาวพุทธทำบุญกุศลต้องร่ำรวย ถ้าชาวพุทธเรานะทำบุญกุศล ทำกับพระอริยบุคคลมันต้องร่ำรวยมหาศาล ทำไมเราสู้ทางตะวันตกเขาไม่ได้

ร่ำรวยในอะไรล่ะ? ร่ำรวยโดยธรรมกับร่ำรวยโดยวัตถุ ถ้าร่ำรวยโดยวัตถุ อีกหน่อยก็จะร่ำรวย เพราะอะไร? ร่ำรวยในวัตถุมันก็อยู่ที่การตลาด อยู่ที่การค้า แล้วการค้ามันเปลี่ยนแปลงตลอด นี่มันเป็นเรื่องโลกไง เห็นไหม โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ แต่ธรรมล่ะ? ธรรมมันไม่พร่อง ถ้าธรรมไม่พร่อง ถ้าว่าร่ำรวย ร่ำรวยอะไร? เพราะอะไร? ศีล สมาธิ ปัญญา

นี่เวลาทำทาน ทานก็ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา ระดับของภาวนามันก็ร่ำรวย ร่ำรวยก็เป็นเศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรมก็วิมุตติไง พ้นจากทุกข์ไง แล้วมีใครพ้นจากทุกข์บ้างล่ะ? ถ้าพ้นจากทุกข์ สิ่งที่เขาทำอยู่มันหยาบช้า หยาบขนาดนั้นมันจะเป็นพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ทั้งทางฆราวาส ทั้งทางพระ เหมือนกันทั้งนั้นแหละ

ถาม : ๖. หากผู้นำประเทศ การที่สังเวยชีวิตของลูกน้องหรือประชาชนบางส่วนเพื่ออำนาจ เพื่อการอยู่รอด ระบบการปกครองก็เป็นเรื่องปกติ ในประวัติศาสตร์ผ่านมากี่ยุคก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้แบบนี้ทำไมถึงยังปลงไม่ตกกับโลกธรรมนี้ครับ

ตอบ : เพราะเราเข้าใจได้ เราเข้าใจได้ว่าประวัติศาสตร์ทุกคนก็ศึกษามา ถ้าทุกคนศึกษามา นี่เขาสร้างมา นี่ก็มาถึงผลของวัฏฏะอีกแหละ ผลของวัฏฏะ การเวียนตายเวียนเกิดนะ การเวียนตายเวียนเกิด เวลาสิ่งที่จะมีอำนาจวาสนาถึงกับได้เป็นผู้นำเขาก็ต้องสร้างบารมีของเขามา ถ้าไม่สร้างบารมีของเขามา นี่ดูสิผู้นำบางคนก็ฉลาดมาก ผู้นำบางคนไม่ฉลาดเลยก็มีนะ

ผู้นำก็อยู่ที่ผู้นำฉลาดหรือไม่ฉลาด อำนาจวาสนาของเขามาถึงที่สุดก็มาถึงอย่างนั้น แต่ถ้าผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีเขาสร้างวาสนา เพราะผู้นำก็ส่วนผู้นำ เวลาผู้นำขึ้นมาแล้ว ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์เคยเป็นจักรพรรดิๆๆ มากี่ภพ กี่ชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเป็นกษัตริย์ เคยเป็นมาทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเป็นมาทั้งนั้นแหละ นี่ระดับที่ว่าเขาเป็นผู้นำมา

นี้เราศึกษาประวัติศาสตร์ ว่าผู้นำเขาสังเวยชีวิตของสังคมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข นั่นก็การบริหารของเขา แต่ถ้าจิตใจของคนถ้ามีความเมตตาล่ะ? เขาไม่สังเวยล่ะ? เขาไม่สังเวย เขายอมสละว่าฉันยอม ฉันให้คนอื่นเป็นผู้นำแทนก็ได้เพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุขเขาก็เสียสละได้ เขาเสียสละตัวเขาเองก็ได้ เขาเสียสละเพื่อสังคมก็ได้ มันอยู่ที่ว่าเขาขอใคร อย่างเช่นเวลาพระเวสสันดร เห็นไหม เขาบอกทำไมกัณหาชาลี ชูชกมาขอกัณหา ชาลี พระเวสสันดรเห็นแก่ตัว ก็เขาไม่ขอพระเวสสันดร เขาขอกัณหาชาลี เขาไม่ขอพระเวสสันดร เขาขอกัณหาชาลี แล้วเทวดาก็มาขอนางมัทรี เขาไม่ขอเรา เออ ถ้าขอเราก็จบนะ ก็เขาไม่ขอ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเกิดปัญหาขึ้นมามันไม่ใช่ปัญหาเฉพาะตรงนั้น มันเป็นคนละกรณี มันเป็นความเห็นของคนไง ความเห็นของคนนะ เขามาขอกัณหาชาลี แล้วเทวดามาขอมัทรีไป โอ้โฮ เจ็บปวดนะ ดูสิอย่างเรามาด้วยกัน ทุกคนทิ้งไปหมดเลยเหลือคนเดียว ลูกก็ไปแล้ว ภรรยาก็ไปแล้ว แล้วนั่งอยู่คนเดียวทุกข์ตายห่าเลย มันยิ่งบีบคั้นหัวใจใหญ่ แต่ แต่โพธิญาณ โพธิคือหัวใจ โพธิญาณจะเกิดขึ้นมามันต้องได้สร้างสมบุญบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จะต้องเสียสละลูก เสียสละเมียชาติสุดท้าย แล้วมาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฉะนั้น ถึงเวลาแล้ว นี่เรื่องของวัฏฏะมันก็เวียนมาพอดี แล้วก็มีคนมาทำอย่างนั้นเพื่อให้บารมีเต็ม สุดท้ายแล้วมันก็มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่การเสียสละภายนอก การเสียสละภายใน ฉะนั้น พูดถึงการปกครองๆ นี้เราเป็นธรรมไง สิ่งที่เป็นธรรมเราเกิดเป็นศาสนา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เห็นไหม ชาติ มีชาติ ศาสนาเป็นการหล่อหลอมให้ทุกคนจิตใจรวมกันให้เป็นชาติขึ้นมาได้ นี่มันเป็นสถาบัน เราเป็นบุคคล บุคคลในสถาบันนั้น จะทำอย่างไรให้สถาบันนั้นมั่นคงขึ้นมา ถ้าสถาบันมั่นคงขึ้นมา เราก็มาเชิดชูสร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมบุญญาธิการ ต่อไปข้างหน้าจะได้ภาวนาเป็น

ถ้าเราภาวนา ถ้าวิมุตติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้วเขาก็พยายามถนอมรักษาเพื่อ เพื่อศาสนทายาท สร้างสม สร้างศาสนทายาท สร้างทายาทโดยธรรมให้ค้ำชูธรรมให้ครบ ๕,๐๐๐ ปีไป ให้ครบศาสนาให้มั่นคงไป เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสัตว์โลกให้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เราก็เวียนตายเวียนเกิด ถ้าเราเกิดมานี่เราสร้างสมบุญญาธิการไว้ แล้วเราไปเกิดชาติหน้าก็มาได้อานิสงส์ ได้ความเป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข เราก็ได้อานิสงส์ของเรา แต่ถ้าเขาได้ทำบาป ทำกรรมของเขามา เขามาทำลายของเขา

ทำลาย นี่เทวทัตตายแล้วไปลงนรกอเวจี พ้นจากนรกอเวจีเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เพราะเขาสร้างการขัดแย้งในสมัยพุทธกาล แต่เขาก็ได้ทำฌานโลกีย์ เขาก็ได้เกิดในสังคมชาวพุทธ เวลาเขาสิ้นเวรสิ้นกรรม หมดเวรหมดกรรมแล้ว ในพระไตรปิฎกว่าพระเทวทัตอนาคตจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะด้วยบุญญาธิการที่เขาทำคุณงามความดีมาเหมือนกัน คุณงามความดี เหรียญมีสองด้าน ดีและชั่ว ถ้าชีวิตหนึ่งก็สร้างมาเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นสังคมเป็นแบบนี้ เราก็พยายามทำของเรา

ฉะนั้น ถามว่า

ถาม : ผู้วิมุตติ ๑๐๐เปอร์เซ็นต์แล้วจะไม่ยุ่งกีฬาสีใช่ไหม?

ตอบ : ใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แต่ที่ยุ่งๆ อยู่มันวิมุตติปลอมๆ วิมุตติครึ่งๆ กลางๆ มันไม่จริง ถ้ามันจริงแล้วนะ ความเป็นจริงนะพระอรหันต์ไม่ทำความกระทบกระเทือนกับสังคมหรอก เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่พระอรหันต์จะทำให้สังคมกระทบกระเทือน เป็นไปไม่ได้ แต่พระอรหันต์รู้จริงเท่านั้นเอง พระอรหันต์คอยบอก คอยชี้นำสังคมเท่านั้น แต่ไม่ทำให้สังคมกระทบกระเทือนเด็ดขาด แต่ที่มาชักมานำกันอยู่ บอกว่าเป็นผู้หลุดพ้นๆ แล้ว หลุดพ้นไม่จริงหรอก ไม่จริง แต่ถ้าจริงนะจะไม่ทำให้สังคมกระทบกระเทือนเด็ดขาด เพราะท่านรู้ของท่าน ท่านทำของท่านเพื่อประโยชน์กับท่าน

ถึงบอกว่าธรรมเหนือโลกไง เพราะมันเหนือโลก เหนือโลก เหนือสงสาร เราคาดไม่ได้หรอก เราคาดไม่ได้ เราเหมือนไม่ได้ เห็นไหม เราจะบอกเลย เราต้องไปถามพระอรหันต์ก่อนแล้วค่อยมาตอบใหม่ เพราะเราก็คาดไม่ได้เหมือนกัน เอวัง